ถอดบทเรียนกิจกรรม
ทำไมบางคนถึงขี่ทำไงถึงจะไม่ขี่ (1 ชั่วโมง 30 นาที)
กระบวนการ
- จับกลุ่มย่อยตามที่นั่ง รวมครูและนักเรียนเข้าด้วยกัน แล้วให้ตัวแทนกลุ่มนำเสนอ
เนื้อหากิจกรรม
- วิทยากรให้โจทย์ : รณรงค์ไปร้อยรอบแล้วก็ไม่สำเร็จ ทุกคนรู้แล้ว ไม่ต้องสร้างการรับรู้เพิ่ม จะจัดการปัญหานี้ยังไง (ถ้ามีทุน 25,000) พร้อมยกตัวอย่างพื้นที่จริงและบริบทให้หาทางแก้ปัญหา เช่น โคราช เกาะช้าง
ข้อสังเกตและสิ่งที่พบเห็น
- ครูมีอิทธิพลในวงพูดคุยค่อนข้างเยอะ นักเรียนยังไม่มีบทบาทมากนัก
- เมื่อไม่มีกรอบหรือโจทย์บังคับ ทางออกที่เสนอมาค่อนข้างมีความสร้างสรรค์
ห้องคุณครู : เรียนรู้การสื่อสารร่วมสมัยและแนวทางพัฒนาคนรุ่นใหม่
กระบวนการ
- จับวงใหญ่พูดคุยกับกลุ่มครู
เนื้อหากิจกรรม
- การสนับสนุนการสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ (2017)
- เรามองนักเรียนอย่างไร (ประวัติศาสตร์แนวคิดความเป็นเด็ก และความอาวุโส)
- ความเป็นเด็กนักเรียนมองเราอย่างไร (ความเปลี่ยนแปลงระบบอาวุโสในปัจจุบัน)
- วัฒนธรรมเยาวชนบนเครือข่ายสังคม
- เราจะสนับสนุนนักเรียนได้อย่างไร
- เราอยู่ตรงไหนในจักรวาลของนักเรียนที่มีแรงบันดาลใจเป็นของตัวเอง
- คำถามกับการสนับสนุนนักเรียนที่ขาดแรงบันดาลใจ
- สนทนาแลกเปลี่ยน
ข้อสังเกตและสิ่งที่พบเห็น
- ครูส่วนมากเป็นครูที่ค่อนข้างเข้าใจพื้นที่ของตัวเองดี และสามารถเข้าใจปัญหาที่ซับซ้อน แต่อาจยังขาดลักษณะการยกตัวอย่างของการแก้ไขปัญหา อาจเป็นเพราะถูกหล่อหลอมมาแบบวัฒนธรรมไทยหรือวัฒนธรรมของข้าราชการที่สร้างโครงสร้างมาให้คนมีบทบาทน้อยกว่าโครงสร้าง จึงจำเป็นต้องเห็นว่าปัญหาเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ มากกว่าเผชิญและแก้ไข
- ครูเข้าใจปัญหาความเหลื่อมล้ำ และความแตกต่างทางวัฒนธรรมค่อนข้างดี
- การแยกระหว่างทัศนคติของครูผู้สอนกับความต้องการของนักเรียนยังเป็นไปไม่ได้มากเท่าที่ควร แต่อย่างไรก็ตาม จากคำอธิบายของครู เห็นว่าพวกเขามีความพยายามและความตั้งใจที่ดี และพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาเมื่อทำได้
- ครูมีลักษณะเป็นนักปฏิบัติ ไม่ค่อยมีโอกาสพบเจอกับนักทฤษฎีที่ดี หรือคำอธิบายที่สามารถแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ได้ จึงมีทัศนคติต่อการวิจัยต่างๆ ว่าเป็นการวิจัยตามโครงสร้างแบบที่พวกเขาเคยพบเจอ และไม่เห็นว่าการวิจัยจะเป็นการแก้ไขปัญหาได้มากเท่าการกระทำ อย่างไรก็ดี ทฤษฎีฉับพลันและความคลุกคลีกับนักเรียนทำให้ครูกลุ่มนี้มีทฤษฎีส่วนบุคคลในการใช้ปฏิบัติ และพลิกแพลงฉับพลันได้ระหว่างปฏิบัติการ (นอกเหนือไปจากความคิดเห็นหรืออุดมคติค่อนข้างจะเป็นแบบเก่า แต่ผมไม่คิดว่าเป็นปัญหามากตามจุดประสงค์ของโครงการ) อาจส่งผลในทางที่พึงประสงค์ด้านการสร้างสรรค์ต่อกลุ่มนักเรียนมากกว่าไม่พึงประสงค์
- ครูแสดงความพยายามอย่างชัดเจนที่จะเข้าใจ และสอดแทรก จัดการนักเรียน และจัดการปัญหาร่วมกับนักเรียน
- อย่างไรก็ดี ครูประมาณครึ่งหนึ่งไม่ได้รู้สึกว่าตนเองมีพื้นที่ในการแสดงออกมากนัก จึงไม่ได้แสดงออกอะไรให้เห็นมาก
ห้องนักเรียน : Serious Creativity ฝึกกระบวนการสร้างสรรค์แคมเปญ
กระบวนการ
- บรรยายสไลด์ ยกตัวอย่าง
- ทุกครั้งที่จบหัวข้อย่อย จะให้นักเรียนร่วมกลุ่ม Reflect ส่งตัวแทนมาตอบปัญหา แชร์ประสบการณ์
เนื้อหากิจกรรม
- ถ้าเราใช้มือเปล่าเปิดฝาขวดไม่ได้ต้องทำอย่างไร ? : วิธีแก้ปัญหาโดยไม่โทษ “คน”
- ทำไมต้องเป็นเรา ? : ตระหนักถึงความสำคัญของตัวเองในฐานะนักเรียน
- แก้ปัญหาเปลี่ยนโลก : ยกตัวอย่างเคสแก้ปัญหาที่เปลี่ยนโลก เช่น ไอศกรีมโคน, สเกตบอร์ด, ไม้ปั่นหู
- ทำไมเราถึงต้องทำก่อน 15 ไม่ขี่ : ระดมความเห็นว่าทำไมเราถึงอินกับปัญหานี้
- รางวัลและความเสี่ยง : เปลี่ยนพฤติกรรมคนด้วยทฤษฏีเกม (แสดงความเสี่ยง + รางวัลระยะสั้น สู่รางวัลระยะยาว)
- ทบทวนแผนงานของตัวเอง เน้นย้ำเรื่องความเข้าใจคน
ข้อสังเกตและสิ่งที่พบเห็น
- โจทย์ ทำไมเราถึงต้องทำก่อน 15 ไม่ขี่ : ระดมความเห็นว่าทำไมเราถึงอินกับปัญหานี้
นักเรียนลงความเห็นมาว่า
- ไม่อยากให้สูญเสีย
- เพื่อนเตือนเพื่อนง่ายกว่า ใกล้ชิดกว่า
- อยากให้อนาคตของชาติได้เติบโต
- รักษากฎหมาย
วิทยากรท้าทายเพิ่มว่า
- ถ้าเพื่อนไม่ได้เป็นอนาคตของชาติ โตไปเป็นคนเลวแน่นอน เราจะยังอยากรักษาอนาคตเขาไหม
- ความสูญเสีย อนาคตของชาติ และกฎหมาย เป็นรางวัลและการลงทุนระยะไกล ไม่แน่นอนว่าจะได้หรือไม่ได้ เราจะทำให้มันท้าทายขึ้นในระยะสั้นได้อย่างไร
- ในช่วงแลกเปลี่ยนประสบการณ์เห็นว่านักเรียนมีความเข้าใจปัญหาพื้นที่ของตัวเองอยู่แล้ว
- การยกตัวอย่างเรื่องทฤษฏีเกมค่อนข้างได้ผล นักเรียนเข้าใจและจำได้ แต่จะยังไม่เห็นตัวอย่างมากนัก
- ช่วงบ่ายควรทำกิจกรรมที่ได้เคลื่อนไหว สนุกสนาน เพื่อป้องกันความง่วงหลังอาหารเที่ยง มีเสียงรบกวนจากอีกฝั่ง ทำให้ไม่ค่อยมีสมาธิ
Social Actionและตัวอย่างปฏิบัติการสังคมที่มีประสิทธิภาพ
กระบวนการ
- นั่งรวมกัน วิทยากรบรรยาย ชวนพูดคุยเป็นระยะ
เนื้อหากิจกรรม
- ตัวอย่างแคมเปญสร้างสรรค์ ( Motherhood, EcoParking, SL Benfica )
- ตัวอย่างแคมเปญสอนสั่ง (จนเครียดกินเหล้า, ไทยหัวสูง, คิดก่อนทำ)
- ระดับของผลลัพธ์ (รับรู้, นำไปคิด, เกิดพฤติกรรม, ส่งต่อในสังคม เกิดบทสนทนา)
- ผลลัพธ์ที่ดี = กลุ่มเป้าหมายเปลี่ยนพฤติกรรม
- ผลลัพธ์ที่ไม่ดี = เป็นศัตรูกับกลุ่มเป้าหมาย พฤติกรรมเหมือนเดิม
- ทบทวนรางวัล : โครงการของเราเติมเต็มชีวิตกลุ่มเป้าหมายอย่างไร
ข้อสังเกตและสิ่งที่พบเห็น
- ช่วงแลกเปลี่ยนทำให้เห็นภาพว่าผู้ร่วมโครงการไม่ค่อยได้เห็นตัวอย่างของงานสื่อสารสังคม แต่ก็มีความสนใจที่จะพัฒนาสื่อให้มีความน่าสนใจ
- นักเรียนจำเรื่องรางวัลและความเสี่ยงจากการบรรยายครั้งก่อนได้
- ขยายความกลุ่มเป้าหมายของการทำแคมเปญได้ชัดขึ้น ว่าควรจะแยกเป็นกลุ่ม :
- จำเป็น = ให้ทางเลือก
- ไม่จำเป็นแต่เท่ๆ = ให้ความเท่ใหม่
Copywriting Crash ทดลองสื่อสารด้วยก๊อปปี้ไรท์ร่วมสมัย
กระบวนการ
- วิทยากรบรรยายยกตัวอย่าง
- แบ่งกลุ่มย่อยแจกโจทย์ให้คิด Copywriting ของตัวเอง
- โค้ชรายทีมแบบ 1:1
เนื้อหากิจกรรม
- ตัวอย่าง Copywriting แบบต่างๆ พร้อมเบื้องหลังการคิด
- Copywriting เพื่อความชัดเจนของโครงการ
ข้อสังเกตและสิ่งที่พบเห็น
- ทุกทีมสามารถแต่งประโยคได้ ค่อนข้างมีความคิดสร้างสรรค์ในแบบของตัวเอง
- ทุกทีมแต่งเป็นประโยคคล้องจองคล้ายคำขวัญ :
วริศให้ความคิดเห็นว่า ยังไม่ใช่การคิดที่คิดจริงๆ แต่ก็ถือว่าได้ลองนำเนื้อหาไปใส่ในรูปแบบ - Copywriting สามารถสะท้อนได้ว่าโครงการมีความชัดเจนและมีบุคลิกภาพหรือไม่
การบ้านก่อนนอน: เขียน Proposal เพื่อนำเสนอในวันรุ่งขึ้น
กระบวนการ
- วิทยากรแจกกระดาษและแบบฟอร์มการเขียน Proposal ให้เขียนและนำมาส่งก่อนนอน
ข้อสังเกตและสิ่งที่พบเห็น
- สามารถสื่อสารได้ในเบื้องต้นว่าจะทำอะไรบ้าง
- สื่อสารผ่านตัวอักษรแล้วไม่รู้สึกว่าน่าสนใจ ต้องรอฟังตอนนำเสนอ
Specific focus ตามกลุ่มพื้นที่แชร์ Proposal
กระบวนการ
- โรงเรียนนำเสนอโครงการ รับคำถามจากวิทยากร พูดคุยแลกเปลี่ยน แนะนำ
- หลังพัก วิทยาเปิดตัวอย่างสื่อรณรงค์รูปแบบอื่นๆ นอกเหนือจากการทำโปสเตอร์และทำหนังให้ดู
ข้อสังเกตและสิ่งที่พบเห็น
- ทักษะการนำเสนอโครงการ
- สามารถเล่าได้ในเชิงรายละเอียด ซักถามได้ น่าสนใจกว่าที่เขียนใน Proposal
เป็นไปได้ว่าครั้งหน้า ก่อนพิจารณาให้ทุนควรมีการสัมภาษณ์ (ออนไลน์ ผ่าน Facebook Call / Skype)
- สามารถเล่าได้ในเชิงรายละเอียด ซักถามได้ น่าสนใจกว่าที่เขียนใน Proposal
- ข้อเสนอของโรงเรียน
- ทำวงประชุมอบรม : พื้นฐานที่สุด แต่ไม่สามารถวัดผลได้ว่าจะทำหรือไม่ หากไม่ทำนโยบายมากำกับ
- ทำนโยบาย : เป็นวิธีที่ใช้งานได้ดีที่สุดหากมาพร้อมทางเลือกหรือรางวัล ให้กลุ่มเป้าหมาย
- ทำสื่อ : พื้นฐานที่สุดคือสร้างการรับรู้ เพิ่มเติมได้คือสร้างการโต้ตอบ ตื่นเต้น
- ภาพสะท้อนของโรงเรียน
- เห็นว่านักเรียนและครูเข้าใจปัญหาในพื้นที่ตนเองดี ทำให้ออกแบบทางแก้เชิงนโยบายได้ เช่น ออกกฎ ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ จัดหารถรับจ้าง ติดสติ๊กเกอร์แบ่งแยกรถมอเตอร์ไซค์ก่อนวัย สิ่งเหล่านี้ตอบโจทย์ทางนโยบายทั้งหมด แต่เมื่อเป็นเรื่องสื่อรณรงค์ แต่ละโรงเรียนยังต้องเข้าใจเรื่องจุดประสงค์ของการทำสื่อให้มากขึ้น
- เห็นภาพสะท้อนว่า ตัวนักเรียนและครู ไม่มีโอกาสทราบว่าความสนใจของนักเรียนทั่วๆไปสามารถเอามาสร้างประโยชน์ได้ กรอบคิดในการสื่อสารที่โรงเรียนนำเสนอมาจึงเป็นกรอบคิดที่ตั้งอยู่บน “ความอยากที่จะสื่อสาร” มากกว่าความเข้าใจเรื่อง “ผู้รับสารหรือกลุ่มเป้าหมายต้องการอะไร” ซึ่งในการออกแบบสื่อ ควรจะคิดถึงความต้องการของผู้รับสารมากกว่า
- ทัศนคติในการทำสื่อ เมื่อไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานคิดว่า “ผู้รับต้องการอะไรหรือสนใจอะไร” บางครั้งก็ลงเอยด้วยการผลิตสื่อที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายกลายเป็นตัวร้าย : อาจจะถูกใจคนที่ทำโครงการด้วยกัน แต่การทำให้กลุ่มเป้าหมายเกิดภาพลบ ก็ไม่น่าจะเกิดผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว
- รูปแบบการทำโครงการบางอัน เป็น Platform ที่เอาไปใช้กับโครงการอะไรก็ได้ เช่น จัดอบรม ไม่จำเป็นต้องเป็นก่อน 15 ไม่ขี่ก็จัดได้ ทำแบบเดิมแต่เปลี่ยนหัวข้อเป็นยาเสพติด บุหรี่ เซ็กซ์ ก็ได้ทั้งนั้น นั่นแปลว่าโครงการอาจจะได้ผล แต่ไม่โดดเด่น และไม่เป็นที่น่าจดจำ
- สิ่งที่วิทยากรนำเสนอเพิ่มเติมเพื่อให้นำไปพิจารณาปรับปรุง
- ตัวอย่างการทำแคมเปญที่ “สนุก” คิดถึงผู้รับสารเป็นหลัก
- กิจกรรมเซอร์ไพรส์ในโรงเรียน เช่น กล่องลึกลับ ถนนลึกลับ ที่เชื่อมโยงกับการแก้ปัญหาได้
- Movement ของนิตยสารทำมือ
- ความสนใจของวัยรุ่น ไม่ได้สนใจเรื่อง อะไรถูกอะไรผิด แต่สนใจว่าเพื่อนคนอื่นๆ คิดอย่างไร เป็นอย่างไร
- ไม่จำเป็นต้องสอนไปซะทั้งหมดว่าอะไรดีไม่ดี ควรจะท้าทายให้เขาได้คิดได้เลือกเองด้วย
- ใส่ความสนุกเข้าไปในสิ่งที่คิดมาแล้ว เช่น การ์ตูนรณรงค์ อาจทำให้เป็นเกมตามหา ต่อเรื่อง แทนที่จะแปะเดี่ยวๆ
- จุดที่ควรปรับปรุงในภาพรวมของโครงการ
- ตัวอย่างการทำแคมเปญที่ “สนุก” คิดถึงผู้รับสารเป็นหลัก
- กิจกรรมนี้ควรเป็นกำหนดการแรกของโปรแกรม เพราะทำให้เข้าใจที่มาและที่ไปของแต่ละโรงเรียน
- หลายกลุ่มดำเนินการไปแล้ว ได้ทุนไปแล้ว ทำมาเสร็จแล้ว คำแนะนำในครั้งนี้จึงเป็นคำแนะนำที่อาจไม่มีประโยชน์ในทันที แต่อาจจะเป็นประโยชน์ในครั้งต่อๆไป
สอนทำสื่อ
กระบวนการ
- วิทยากรเปิดสไลด์เล่าประสบการณ์ทำสื่อ คำแนะนำเบื้องต้น
- เปิดให้ปรึกษาวิทยากรรายกลุ่มตามความสนใจ
ข้อสังเกต สิ่งที่พบเห็น
- เป็นช่วงที่สนุก นักเรียนและอาจารย์ดูตื่นเต้นที่จะได้เรียนรู้เรื่องทำสื่อ
- แต่ละโรงเรียนจะมีความถนัดและความต้องการในสื่อแต่ละชนิดต่างกัน บางโรงเรียนทำหลายสื่อ บางโรงเรียนก็เน้นอย่างเดียวไปเลย
ข้อเสนอแนะ
การสอนช่วงนี้จะเป็นประโยชน์มากขึ้นถ้าโรงเรียนได้ทดลองทำสื่อมาให้ช่วยคอมเมนท์
ภาพรวม
พื้นฐานผู้เข้าอบรม
- มักเป็นเด็กสภานักเรียน คิดนโยบายเก่ง คิดวิธีแก้ปัญหาและงานการเมืองการประสานงานได้
- หลายโรงเรียนทำงานเชิงสถิติและงานวิจัยก่อนออกแบบโครงการได้ดี
- บางโรงเรียนทำมาหลายปีแล้ว
- อาจารย์ส่วนมากเข้าใจนักเรียนดี เป็นอาจารย์ที่อยู่ข้างเด็ก
- ไม่มีปัญหาด้านการทำนโยบาย แต่ต้องพัฒนาเรื่องทักษะและเทคนิคการสื่อสารให้สื่อสารไปถึงกลุ่มเป้าหมาย
- นักเรียนยังไม่รู้วิธีใช้ประโยชน์จากความเป็นเด็ก ถ้ารู้และได้รับโอกาส สนับสนุน งานจะน่าสนใจมาก
ทักษะที่โรงเรียนได้รับจากการอบรม
- ความเข้าใจในมนุษย์ และการใช้ประโยชน์จากความสนใจของมนุษย์
- ลูกเล่นลูกชนในการออกแบบแคมเปญและเคลื่อนงานสังคม
- เข้าใจ Risk & Reward
- ใช้ประโยชน์จากความสนใจดั้งเดิม
- จำแนกกลุ่มเป้าหมายได้ชัดขึ้นเพื่อสื่อสารได้ดีขึ้น
- เทคนิคในการสื่อสาร (สื่อสารโดยไม่เล่าตอนจบก่อน)
- เข้าใจฟังก์ชันของสื่อ ก่อนจะออกแบบสื่อ
- ใส่ความสนุกเข้าไปในสื่อที่ทำมาแล้ว
ปัญหาและอุปสรรค
- โรงเรียนได้ทุนไปแล้ว บางโรงเรียนทำเสร็จแล้ว จึงไม่แน่ใจว่าการอบรมจะส่งผลต่อคุณภาพโครงการมากน้อยขนาดไหน
- ในช่วงแรกๆ โรงเรียนมีความสับสนว่า ก่อน 15 ไม่ขี่ เป็นคนละอันกับการขับขี่ปลอดภัย แว๊นซิ่ง
- ในช่วงแรกๆ โรงเรียนสับสนกลุ่มเป้าหมาย แต่เมื่อได้รับการอบรมก็แยกได้ว่าควรจะสื่อสารกับกลุ่มจำเป็นกับกลุ่มเท่ๆ ด้วยท่าทีที่แตกต่างกัน
- การจัดอบรมความรู้ในโรงเรียน เป็นกิจกรรมที่ธรรมดามาก และไม่สามารถรับประกันผลลัพธ์ได้
- Context ของพื้นที่ต่างกันมาก ควรจะโค้ชกลุ่มย่อยบ่อยๆมากกว่าบรรยายรวม
- ห้องประชุมแคบ จัดที่นั่งแบบอื่นๆ ได้ลำบาก
โอกาสและการต่อยอด
- หลายๆ โรงเรียนแก้ปัญหาได้หลายปีแล้ว ความท้าทายต่อไปคือการสานต่อให้เกิดเป็นหลายๆ รุ่น
- ในปีต่อไป อาจต้องให้พื้นที่โรงเรียนที่ทำมาหลายปี ได้แลกเปลี่ยนและแนะนำโรงเรียนที่เพิ่งเริ่มทำ
- โรงเรียนที่แก้ปัญหาได้แล้วในทางนโยบายควรท้าทายต่อเรื่องค่านิยมใหม่ พื้นที่ความเท่ใหม่
- (คำถามจากวิทยากร) เราโอเคกับการใช้สกุตเตอร์ไฟฟ้าที่ความเร็ว 50km/hr ไหม เพราะทั้งเท่กว่า ถูกกว่า ปลอดภัยกว่ามอเตอร์ไซค์ แต่เร็วกว่าจักรยาน?
โปรดแสดงความคิดเห็น